Health

  • จอประสาทตาเสื่อม อาการเริ่มต้นที่ควรระวัง
    จอประสาทตาเสื่อม อาการเริ่มต้นที่ควรระวัง

    จอประสาทตาเสื่อม อาการเริ่มต้นที่ควรระวัง

    จอประสาทตาเสื่อม คือโรคที่เกิดจากจอประสาทตาในลูกตาเสื่อมสภาพ จนไม่สามารถรับภาพได้ดีเท่าเดิม โรคจอประสาทตาเสื่อมนี้จะทำให้การมองเห็นแย่ลงเรื่อยๆ มองภาพบิดเบี้ยว มองเห็นสีได้น้อยลง การมองเห็นช่วงกลางภาพหายไป เมื่อถึงจุดหนึ่งจะสูญเสียการมองเห็นส่วนใหญ่ไปในที่สุด

    จอประสาทตาเสื่อมมักจะเกิดในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี เนื่องจากสาเหตุส่วนใหญ่ของโรคมาจากความเสื่อมของอวัยวะตามอายุ บางครั้งจึงเรียกโรคจอประสาทตาเสื่อมที่มักเกิดในผู้สูงอายุว่า Age – Related Macular Degeneration หรือที่เรียกว่า AMD นั่นเอง ผู้ป่วยโรคนี้มักรู้ตัวช้า เนื่องจากในผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการของโรคจะค่อยๆ เกิด บางครั้งก็เกิดขึ้นกับดวงตาเพียงข้าง เมื่อผู้ป่วยใช้ดวงตาสองข้างในการมองจึงไม่ทราบว่าภาพการมองเห็นของตนกำลังผิดเพี้ยนไป

    จอประสาทตาเสื่อม แบ่งเป็น 2 ชนิด

    1. จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง (Dry AMD)

    จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง (Dry Age – Related Macular Degeneration หรือ Dry AMD) คือโรคจอประสาทตาเสื่อมที่เกิดจากตัวเซลล์ในจอประสาทตาเสื่อมสภาพและจอตาบางลงเองตามอายุการใช้งานเมื่อมีอายุมากขึ้น พบได้มากถึง 85 – 90% ของผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด

    อาการของโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งจะค่อยๆแสดงออกมา ผู้ป่วยจะเริ่มมองไม่เห็นในที่มืด จำหน้าคนรู้จักไม่ได้ ภาพที่เห็นเริ่มเบลอ เบี้ยวผิดรูป และการมองเห็นจะแย่ลงเรื่อยๆ หากไม่ลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม และในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาจอประสาทตาเสื่อมชนิดนี้ให้หายขาดอีกด้วย

    2. จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก (Wet AMD)

    จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก (Wet Age – Related Macular Degeneration หรือ Wet AMD) คือโรคจอประสาทตาเสื่อมอันเกิดจากเส้นเลือดที่ผิดปกติภายในจอตา เมื่อเส้นเลือดที่ผิดปกตินั้นแตกออก เลือดและของเหลวในเลือดจะไหลออกและคั่งอยู่ในบริเวณจอประสาทตา ทำให้บริเวณนั้นบวมผิดปกติจนการรับภาพของจอประสาทตาผิดเพี้ยนไปจากเดิม

    จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกพบได้เพียง 10 – 15% เท่านั้น และมักเป็นความผิดปกติที่เป็นผลมาจากพันธุกรรม ดังนั้นแม้จะเป็นรูปแบบที่พบได้น้อย แต่มักจะพบได้ในผู้ป่วยที่คนในครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกมาก่อน โดยที่จอประสาทตาเสื่อมชนิดนี้สามารถเกิดขึ้นมาได้เองทันที หรือสามารถเกิดต่อเนื่องหลังเป็นจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งก็ได้

    จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกนี้ อาการจะรุนแรงมากกว่าชนิดแห้ง อาการจะเกิดขึ้นเร็วและผู้ป่วยสามารถสูญเสียการมองเห็นส่วนใหญ่ไปภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ และมีโอกาสที่จะทำให้สูญเสียการมองเห็นทั้งหมดด้วย

    ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม

    ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าจอประสาทตาเสื่อมเกิดจากอะไร แต่ผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมมักจะมีปัจจัยเสี่ยงร่วมกัน ดังนี้

    1. อายุ จอประสาทตาเสื่อมพบมากในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
    2. คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม จอประสาทตาเสื่อมมีโอกาสที่จะส่งต่อทางพันธุกรรมได้ทั้งชนิดแห้งและชนิดเปียก คนในครอบครัวของผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีโอกาสเกิดโรคได้มากกว่าคนทั่วไป
    3. เชื้อชาติ จอประสาทตาเสื่อมจะพบในคนเชื้อชาติคอเคเซียน (Caucasians) หรือที่เรียกว่าคนผิวขาว ได้มากกว่าเชื้อชาติอื่นๆ
    4. การสูบบุหรี่ เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคได้มาก
    5. โรคเบาหวาน มักทำให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือด ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานจึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคจอประสามตาเสื่อมชนิดเปียกได้มาก
    6. โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นโรคที่เกี่ยวกับความดันโลหิด และไขมันในเลือด ซึ่งปัจจัยทั้งสองอย่างเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกได้มากเช่นเดียวกัน

    สิ่งหนึ่งที่ผู้คนเข้าใจผิดอย่างมากเกี่ยวกับโรคจอประสาทตาเสื่อม คือการใช้สายตามากไป อย่างการเล่นโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ หรือแสงยูวีจากแดด ทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งในความเป็นจริงนั้นไม่ใช่เลย แม้การใช้สายตามากเกินไป หรือรังสียูวีในแสงแดดจะทำให้เกิดโรคต้อ หรือโรคอื่นๆกับดวงตาได้ แต่ไม่ได้มีผลทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมได้แต่อย่างใด

    สาเหตุและอาการของโรคจอประสาทตาเสื่อม 

    โดยปกติแล้ว จอประสาทตา (Macula หรือ Macula lutea) เป็นกลุ่มของเซลล์ในพื้นที่หนึ่งของจอตา (Retina) จอประสาทตาจะมีหน้าที่ทำให้คนเรามองจุดโฟกัสกลางสายตาชัดกว่าภาพการมองเห็นในส่วนอื่นๆ

    อย่างเช่นเวลาอ่านหนังสือ ผู้อ่านจะอ่านออกแค่ตัวหนังสือในบริเวณกลางภาพในตำแหน่งที่เรามองไปเท่านั้น เราอาจจะอ่านคำที่อยู่ติดกันได้ แต่ไม่สามารถอ่านคำที่ห่างออกไปมากกว่านั้นได้ เนื่องจากภาพตัวหนังสือที่อยู่รอบๆจะไม่ชัดเท่าตรงกลางนั้นเอง

    ดังนั้นเมื่อจอประสาทตาเสื่อมสภาพลง จะทำให้ภาพการมองเห็นมีผลกับตรงกลางภาพมากกว่าส่วนอื่นๆของภาพนั่นเอง

    แล้วจอประสาทตาเสื่อม เกิดจากอะไร? ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าปัจจัยใดทำให้เกิดจอประสาทตาเสื่อม แต่จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งส่วนใหญ่เกิดจากอายุที่มากขึ้น เซลล์ที่ตอบสนองต่อแสงในจอประสาทตาค่อยๆเสื่อมสภาพและหายไปอย่างช้าๆ หรือเยื่อหุ้มในชั้นที่อยู่ใกล้จอตาค่อยๆบางลงจนมีผลต่อจอประสาทตา ทำให้ภาพการมองเห็นส่วนกลางภาพค่อยๆแย่ลงนั่นเอง

    ส่วนจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกนี้ คาดว่าส่วนใหญ่เกิดจากพันธุกรรมที่เมื่อถึงอายุหนึ่งเส้นเลือดที่ผิดปกติหลังจอตาจะบวมหรือแตกออก ทำให้เกิดเลือดคั่งจนดันให้จอตา (Retina) บวมมากกว่าปกติจนส่งผลต่อจอประสาทตา (Macula) ทำให้เกิดจุดบอดตรงกลางภาพได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง

    จอประสาทตาเสื่อม

    อาการจอประสาทตาเสื่อม โดยทั่วไปมีดังนี้

    • การมองเห็นแย่ลง โดยเฉพาะส่วนกลางภาพ จะเห็นเป็นภาพเบลอหรือเห็นเป็นสีเทาดำมืดไปเลย อาจจะเกิดขึ้นกับตาข้างเดียว หรือทั้งสองข้างก็ได้
    • ภาพการมองเห็นบิดเบี้ยวผิดรูป
    • ต้องใช้แสงสว่างมากกว่าปกติเพื่อให้มองเห็นชัด และมองเห็นได้น้อยลงเมื่ออยู่ในที่แสงน้อย
    • ต้องใช้แสงมากขึ้นเพื่อมองเห็นสี โดยปกติแล้วหากอยู่ในที่มืดดวงตาคนเราจะเห็นภาพเป็นสีขาวดำ เมื่อมีแสงสว่างประมาณหนึ่งจึงจะเห็นสี แต่ผู้ที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมจะต้องใช้แสงสว่างมากกว่าคนทั่วไปในการมองเห็นสีนั่นเอง
    • แยกใบหน้าได้น้อยลง เนื่องจากภาพการมองเห็นไม่ชัดเท่าเดิม
    • อ่านหนังสือยากขึ้น

    สัญญาณเตือนและแนวทางการรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อม

    อาการเริ่มต้นของแต่ละชนิดนั้นต่างกัน หากเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกจะสามารถสังเกตอาการได้ง่ายกว่า เนื่องจากอาการจะรุนแรงขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ในโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งนั้น ในช่วงแรงผู้ป่วยจะสังเกตอาการได้ยากมาก หรือในบางรายจะไม่แสดงอาการเลย แต่สามารถตรวจพบได้หากเข้าพบกับจักษุแพทย์

    ในกรณีที่โรคแสดงอาการ โรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งจะทำให้ผู้ป่วยเริ่มเห็นภาพมัวลง ไม่ชัดเท่าเดิม เส้นที่เคยเห็นเป็นเส้นตรงจะดูเบี้ยวและคดเคี้ยวมากขึ้น เมื่อเริ่มเป็นหนักขึ้นช่วงกลางภาพการมองเห็น จะเป็นสีเทาหรือสีดำ ซึ่งเป็นการสูญเสียการมองเห็นไปบางส่วนนั่นเอง

    จอประสาทตาเสื่อม รักษาด้วยวิธีการที่แตกต่างกันตามชนิดของโรค หากเป็นจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้เพื่อไม่ให้โรคลุกลามมากกว่าเดิม และไม่ให้พัฒนาไปเป็นจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกที่อันตรายกว่า

    โดยแนวทางการดูแลตนเองเพื่อป้องกันการลุกลามของโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งที่แพทย์แนะนำ มีดังนี้

    1. มาตามนัดติดตามผลของจักษุแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพราะหากอาการแย่ลงจะได้รักษาได้ทัน
    2. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะการมองเห็นที่เสียไปแล้วไม่สามารถรักษาให้กลับเป็นแบบเดิมได้ ผู้ป่วยจำเป็นต้องมีวินัยอย่างมาก
    3. งดสูบบุหรี่
    4. ควบคุมโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โดยการดูแลตัวเองและทำตามคำแนะนำของแพทย์อยู่เสมอ
    5. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่ช่วยชะลอจอประสาทตาเสื่อม ได้แก่อาหารที่มีส่วนประกอบของวิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน แร่ธาตุสังกะสี ทองแดง และลูทีน ซึ่งพบได้ในผักผลไม้ และจะพบมากในผักใบเขียว หากไม่สามารถทานผักผลไม้เป็นประจำ สามารถทานเป็นอาหารเสริมแทนได้ แต่ก็ไม่ควรทานเยอะจนเกินไป

    ในกรณีที่สูญเสียการมองเห็นส่วนกลางภาพไปแล้ว จะมีวิธีรักษาที่เรียกว่า The implantable miniature telescope (IMT) เป็นการรักษาโดยการผ่าตัดใส่กล้องโทรทัศน์ขนาดเล็กเข้าไปที่ดวงตา เพื่อเปลี่ยนจุดรับแสงที่เป็นจุดโฟกัสกลางภาพ จากจอประสาทตาที่เสียหายไปแล้ว เป็นจอตาในส่วนอื่นๆที่ยังสุขภาพดีอยู่ เพื่อให้การมองเห็นกลับมาใช้งานได้ใกล้เคียงกับปกติ

    แต่การรักษานี้มีข้อจำกัดหลายอย่าง ผู้เข้ารับการรักษาต้องอายุ 75 ปีขึ้นไป เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งที่อาการหนัก ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีการอื่นได้อีก และต้องไม่เคยเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาในการรักษาโรคต้อกระจกมาก่อน

    ส่วนในผู้ที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการดังนี้

    • การฉายแสงเลเซอร์ 

    การฉายเลเซอร์เพื่อรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกมี 2 วิธี ได้แก่

    1. Laser Photocoagulation วิธีการฉายเลเซอร์แบบนี้ จะใช้เลเซอร์พลังงานสูงยิงเข้าที่จอตาในส่วนที่มีเส้นเลือดผิดปกติ ความร้อนของเลเซอร์จะทำให้เลือดไม่ไหลออกจากเส้นเลือด หรือทำให้เลือดออกช้าลง สามารถชะลออาการของโรคได้ แต่วิธีการนี้มีข้อเสียคือความร้อนของเลเซอร์จะทำให้จอตาบางส่วนถูกทำลายไปด้วย ผู้ป่วยจะเกิดจุดมืดที่บางตำแหน่งของการมองเห็นอย่างถาวร
    2. Photodynamic Therapy หรือ PDT เป็นวิธีการรักษาด้วยการใช้เลเซอร์ร่วมกับการใช้ยา โดยแพทย์จะฉีดยาดังกล่าวเข้าสู่ร่างกาย เมื่อยาไปจับบนเส้นเลือดผิดปกติที่ดวงตาแล้ว แพทย์จะยิงเลเซอร์เข้าไปในบริเวณจอตา ตัวเลเซอร์จะไปกระตุ้นตัวยาให้ออกฤทธิ์ ทำให้เส้นเลือดที่ผิดปกติอุดตันและฝ่อไปในที่สุด การรักษาด้วยวิธีนี้ตัวยาและเลเซอร์จะออกฤทธิ์เฉพาะที่ทำให้หลังการรักษาจอตาไม่ถูกทำลายไปด้วยเหมือนกับวิธีแรก แต่วิธีนี้มีข้อเสียคือตัวยาที่ฉีดเข้าร่างกายอาจทำให้เกิดอันตรายกับดวงตาหากถูกแสงโดยตรงในช่วงแรก และอาจจะมีผลข้างเคียงทำให้ปวดหลังหรือร่างกายส่วนอื่นๆ ได้
    • การฉีดยาในกลุ่ม Anti-VEGF

    ยา Anti – VEGF หรือ Anti – Vascular Endothelial Growth Factor เป็นยาสำหรับฉีดโดยแพทย์ ช่วยให้เส้นเลือดผิดปกติที่เป็นต้นเหตุของโรคฝ่อไป แพทย์จะฉีดยานี้เข้าที่ตาขาว เพื่อให้ตัวยาเข้าไปที่น้ำเลี้ยงในลูกตา และไปออกฤทธิ์ที่เส้นเลือดผิดปกติโดยตรง เป็นวิธีรักษาที่ต้นเหตุ เห็นผลเร็ว และผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่รู้สึกเจ็บขณะฉีดยา แต่วิธีการนี้มีข้อเสียเช่นกัน คือผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์บ่อย ช่วงแรกๆอาจจะต้องมาพบแพทย์เพื่อฉีดยาประมาณเดือนละ 3 ครั้ง เมื่อเวลาผ่านไปอาจจะลดจำนวนลงโดยแพทย์จะดูตามอาการอีกครั้งหนึ่ง

    • การผ่าตัดรักษาจอประสาทตาเสื่อม

    การผ่าตัดรักษาจอประสาทตาเสื่อมจะเป็นการผ่าตัดเพื่อนำเส้นเลือดที่ผิดปกติ หรือนำเลือดที่คั่งอยู่หลังจอตาออกไป โดยวิธีการนี้เป็นวิธีการรักษาที่ไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่นัก เนื่องจากเป็นการรักษาที่ไม่เห็นผลเท่าที่ควร

    ผู้ป่วยแต่ละรายต้องเข้ารับการรักษาด้วยวิธีใดนั้น จะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของจักษุแพทย์เจ้าของไข้ ส่วนอาการหลังการรักษาก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดใด และเป็นในระยะใด หากเป็นจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง จะยังไม่มีวิธีรักษา อาการหลังปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์จะไม่ได้หายขาดหรือการมองเห็นดีขึ้น แต่จะช่วยไม่ให้สายตาแย่ลงกว่าเดิม

    ส่วนผลการรักษาหลังจากเข้ารับการรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกนั้น หากอาการก่อนการรักษาไม่หนักมาก ก็มีโอกาสที่ผู้ป่วยจะกลับมามีสายตาที่ปกติหรือใกล้เคียงกับปกติได้ แต่ถ้าอาการแย่อยู่แล้วตั้งแต่ต้น หลังการรักษาอาการจะไม่ได้ดีขึ้นมากนัก แต่ก็จะไม่แย่ลงไปกว่าเดิม ทั้งนี้ผลการรักษาขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละบุคคลด้วย

    วิธีป้องกันจอประสาทตาเสื่อม

    วิธีการป้องกันจอประสาทตาเสื่อมนั้น คล้ายกับการรักษาจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง คือต้องงดสูบบุหรี่ ควบคุมโรคที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดจอประสาทตาเสื่อม และทานอาหารที่มีประโยชน์ หากเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป และผู้ที่คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ควรเข้าพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจดวงตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และควรทานอาหารที่มีส่วนประกอบของวิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน แร่ธาตุสังกะสี ทองแดง และลูทีน เพื่อป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะเป็นการดีที่สุด

    จอประสาทตาเสื่อมส่วนใหญ่เป็นโรคที่รักษาไม่ได้ ทำได้แค่ชะลอให้เกิดช้าลง เพื่อให้ใช้งานดวงตาได้นานขึ้นเท่านั้น ดังนั้นผู้ที่รู้ตัวว่าตนเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ให้พยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้อื่นๆให้มากที่สุด เพราะหากสูญเสียการมองเห็นบางส่วนไปแล้ว ก็จะเสียไปเลย ไม่สามารถแก้ไขได้ หรือแก้ไขได้ยาก การใช้ชีวิตประจำวันก็จะยากขึ้นมากอีกด้วย

    ที่มา

     

    ติตดามอ่านเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่  himalaya-india.com

    สนับสนุนโดย  ufabet369.net

Economy

  • 5 ปัญหา เศรษฐกิจไทย ที่รอรัฐบาลใหม่มาสะสาง
    5 ปัญหา เศรษฐกิจไทย ที่รอรัฐบาลใหม่มาสะสาง

    เมื่อกำหนดวันเลือกตั้งเป็นที่ชัดเจนแล้ว เหล่าบรรดาพรรคการเมืองและผู้สมัครลงเลือกตั้งต่างระดมโหมเคมเปญ เพื่อชูนโยบายเข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนกันอย่างหนัก โดยเฉพาะ ปัญหา เศรษฐกิจไทย เพราะถือเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวกับประชาชนมากที่สุด

    ถึงกระนั้น แม้จะมีหลายนโยบายและมาตรการออกมาให้เลือกสรร แต่เอาเข้าจริงแล้วกลับมีโจทย์ใหญ่ที่เพียงไม่กี่ข้อที่เป็นจุดที่ประเทศไทยต้องรีบแก้จริง ๆ  และกำลังรอคอยรัฐบาลชุดใหม่มาตัดสินใจอยู่

    1. หนี้ครัวเรือน

    เริ่มที่โจทย์ข้อแรก คือ “หนี้ครัวเรือน” เพราะตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านประชาชนคนไทยมีการกู้หนี้ยืมสินกันเยอะมาก จนทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนอยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาโดยตลอด

    ซึ่งข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เผยว่าในไตรมาส 3 ปี 2565 ไทยมีหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 14.90 ล้านล้านบาท คิดเป็น 86.8% ต่อ GDP

    การมีหนี้มากไม่ใช่เรื่องผิด แต่หากเป็นหนี้แล้วกลับไม่มีเงินไปใช้คืน แถมรายได้ก็หดหาย ก็ย่อมเกิดปัญหาตามมาเป็นลูกโซ่ในระบบเศรษฐกิจขึ้นทันที เพราะเงินที่ผู้กู้ปล่อยไปให้ยืมก็กลายเป็นหนี้เสียทันที

    สัญญาณนี้เริ่มน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ เพราะข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ชี้ว่ายอดหนี้คงค้างที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในไตรมาส 4 ปี 2565 อยู่ที่ 1.40 แสนล้านบาท คิดเป็น 2.62% ต่อสินชื่อโดยรวม แม้ว่าจะลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าแล้วก็ตาม

    ทั้งนี้ หนี้เสียส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในรายการบัตรเครดิต ที่อยู่อาศัย และยานยนต์

    สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ข้อมูลหนี้ครัวเรือนยังไม่ได้นับรวมกับหนี้นอกระบบ ซึ่งเป็นปัญหาในระดับเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง เพราะคนกลุ่มนี้ไม่สามารถเข้าถึงเงินกู้ในระบบได้

    จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลชุดใหม่ต้องขบคิดและคิดหาวิธีแก้หนี้ให้กับประชาชนอย่างจริงจัง

    เศรษฐกิจไทย 1

    1. หนี้สาธารณะปัญหา เศรษฐกิจไทย ที่เรื้อรังมานาน

    โจทย์ข้อที่สอง คือ “หนี้สาธารณะ” ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการกู้เงินจำนวนมากของรัฐบาลเพื่อเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กับประชาชนจากผลกระทบของโรคโควิด-19

    ทำให้ปัจจุบันประเทศไทยมีหนี้สาธารณะอยู่ทั้งสิ้น 10.72 ล้านล้านบาท คิดเป็น 61.13 % ของ GDP ณ เดือน ก.พ. 2566

    แม้ว่ารัฐบาลชุดที่แล้วจะแก้กฎหมายเพื่อขยายเพดานหนี้ไปอยู่ที่ไม่เกิน 70% ของ GDP แล้ว แต่หากยังไม่สามารถหาวิธีลดรายจ่ายของภาครัฐลงได้ก็น่าห่วงอยู่เหมือนกัน

    เพราะประเทศไทยใช้งบประมาณแบบขาดดุลมาต่อเนื่องกันมา 16 ปีแล้ว และยังคงจะมีทีท่าว่าจะขาดดุลต่อไปอีกจากแผนการใช้จ่ายของกระทรวงการคลัง

    จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลชุดหน้าจะต้องเข้ามาเพื่อทำให้ระบบการเงินการคลังของประเทศกลับเข้าสู่ความยั่งยืนให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการหารายได้เข้ามาเพิ่มเติม หรือ ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป

    3.เงินเฟ้อ ของแพง ค่าแรงต่ำ

    โจทย์ข้อที่สาม คือ “เงินเฟ้อ ของแพง แต่ค่าแรงแสนถูก”  เพราะผลพวงจากต้นทุนน้ำมัน และปัจจัยการผลิตที่สูงขึ้นทั่วโลก ทำให้ไทยซึ่งต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานประสบกับกับหาข้าวยากหมากแพงเข้าเต็ม ๆ สร้างความเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า

    ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ เผยว่าเดือน มี.ค.2566 เงินเฟ้อของไทยจะลดลงมาอยู่ที่ 2.83% แต่ถือว่าอยู่ในระดับสูงอยู่

    ในขณะที่ค่าแรงในแต่ละวันที่ประชาชนได้รับกลับไม่ขยับขึ้นตามเลย โดยล่าสุดค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 328 – 354 ต่อวันตามแต่ละพื้นที่

    ซึ่งประเด็นดังกล่าวส่งผลกระทบต่อคุณภาพการดำรงชีวิตและปากท้องของประชาชนอย่างมาก ซ้ำร้ายยังทำให้ช่องว่างรายได้ระหว่างคนหาเช้ากินค่ำกับคนรวยที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจถ่างออกจากกันมากขึ้น

    จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลชุดหน้าต้องรีบเข้ามาแก้ไขอย่างเร่งด่วนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

    1. การผูกขาดในระบบ เศรษฐกิจไทย

    โจทย์ข้อที่สี่ คือ “ปัญหาทุนใหญ่ผูกขาดในระบบเศรษฐกิจ” เพราะต้องยอมรับว่าธุรกิจของบริษัทรายใหญ่ต่างครอบงำตลาดไว้ในกำมือเป็นส่วนมาก ไม่จะเป็น สินค้าอุปโภคบริโภค เทคโนโลยีการสื่อสาร เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เหลือโอกาสให้รายเล็กรายน้อยได้ทำมาหากินได้ยากลำบาก

    มิหนำซ้ำธุรกิจรายใหญ่ยังอาศัยวิธีการสร้างแบรนด์ย่อยของตนเองมาเจาะตลาดแข่งอย่างดุเดือด

    เป็นที่น่าผิดหวังยิ่งที่แม้ว่าไทยจะมีกฎหมายแข่งขันทางการค้า และมีองค์กรที่กำกับดูแลในเรื่องดังกล่าวโดยตรง แต่ที่ผ่านมาแทบจะไม่มีการดำเนินคดีในประเด็นดังกล่าวออกมาอย่างเป็นรูปธรรมเลย

    ดังนั้นรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาจะต้องเร่งขจัดปัญหาการแข่งขันทางการค้าอย่างไม่เป็นธรรม และขจัดทุนใหญ่ผูกขาดให้หมดไปจากสังคมไทย เพื่อสร้างความเป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง

    1. สังคมสูงวัย ปัญหา เศรษฐกิจไทย ยุคใหม่

    โจทย์ข้อที่ห้า คือ “สังคมสูงวัย” เพราะนับตั้งแต่ปี 2565 ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์แบบแล้วจากการที่มีสัดส่วนประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปี มากถึง 20% ของประชากรทั้งประเทศแล้ว

    ปัญหานี้เกิดขึ้นมา เพราะจำนวนเด็กเกิดใหม่มีน้อยลง แต่คนมีแนวโน้มที่จะอยู่ได้ยาวนานขึ่น ทำให้อัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรติดลบ

    ซึ่งส่งผลต่อภาระทางการเงินการคลังของประเทศที่ต้องแบกรับกับการดูแลคนสุงวัยจากการเบิกสวัสดิการต่าง ๆ ในขณะที่จำนวนคนงานวัยแรงงานที่จะสร้างรายได้เข้าประเทศกลับมีจำนวนลดลง

    จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลใหม่ต้องมาขบคิดให้ดีถึงการรับมือ ควบคู่กับการสร้างระบบสวัสดิการและระบบการเงินการคลังให้ยั่งยืนได้อย่างไร

    ทั้ง 5 โจทย์ทางเศรษฐกิจนี้จึงถือเป็นเรื่องที่ท้าทายรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาทำงานต่ออย่างยิ่ง เพราะปัญหาเหล่านี้คือปัญหาที่ฝังรากในไทยมาเนิ่นนาน จึงต้องอาศัยวิธีการแก้ในเชิงระบบ และการดำเนินการอย่างจริงจัง


    ข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
    Andre Onana: แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดตกลงข้อตกลงผู้รักษาประตู
    เกิร์นซีย์ผิดหวังข้อตกลง CPTTP ของอังกฤษล่าช้า
    เด็กดื้อ เอาแต่ใจ ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
    ฟาบินโญ แนะเคล็ดปราบมาดริด เย็นให้พอรอให้เป็น
    ติดตามข่าวอื่นๆได้ที่ https://himalaya-india.com/
    สนับสนุนโดย  ufabet369
    ที่มา www.moneybuffalo.in.th